Syria-Houla-massacre-of-children-1200x901
ภาพเด็ก ๆ ชาวซีเรียที่ถูกสังหารไม่เว้นแต่ละวัน กลายเป็นภาพที่พบเห็นได้ทั่วไปบนอินเตอร์เน็ต

ฉันเป็นเพียงครูสอนภาษาอังกฤษในมหาวิทยาลัยเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในปลายขวานทองของไทย ฉันไม่ใช่นักรัฐศาสตร์แต่ติดตามข่าวสารทางการเมืองต่าง ๆ ด้วยความสนใจ ข่าวหนึ่งที่ฉันเฝ้าติดตามด้วยความเป็นห่วงตลอดสองปีที่ผ่านมาคือ ข่าวการเข่นฆ่าประชาชนในซีเรียโดยจอมเผด็จการบัชชาร์ อัล-อัซซาดและสมุน โดยการสนับสนุนทางการเงินและการทหารจากรัสเซีย อิหร่าน และกองกำลังฮิสบุลลอฮ์ ซึ่งได้กลายเป็นประเด็นในระดับสากลมากว่าสองปีแล้ว โดยชาติมหาอำนาจตะวันตกและประชาชนชาวโลกได้แต่นั่งมองตาปริบ ๆ

ในสมัยรัฐบาลซัดดัมของอิรัก ชาติตะวันตกนำโดยสหรัฐอเมริกายื่นมือเข้าแทรกแซงโดยการประกาศสงครามกับอิรักโดยมีข้ออ้างว่าซัดดัมครอบครอง อาวุธทำลายล้างสูง” แต่หลังจากได้พิสูจน์ไปแล้วอย่างชัดเจนว่าอาวุธที่ว่านั้นไม่มีอยู่จริง สหรัฐฯกลับปิดปากเงียบกับกรณีดังกล่าว แต่ได้เข้าครอบครองผลประโยชน์บ่อน้ำมันไปแล้วอย่างอิ่มหนำสำราญ ประเทศอิรักพินาศย่อยยับ ประชาชนล้มตายไปเป็นเบือ เมื่อมาถึงกรณีของซีเรีย ชาติตะวันตกโดยการนำของสหรัฐฯกลับมีท่าทีวางเฉย จนแม้เมื่อมีการสังหารประชาชนชาวซีเรียไปแล้วเป็นแสน ๆ คน และถึงขนาดมีการใช้อาวุธเคมี สหรัฐฯและชาติตะวันตกต่าง ๆ ก็ยัง รอดูท่าทีกันต่อไป ประชาชนชาวโลกตัวเล็ก ๆ อย่างฉันถามตัวเองว่า ทำไม

ตอนโอบามาได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งแรก ฉันนั่งฟังสุนทรพจน์ของโอบามาพร้อมหลั่งน้ำตาให้กับการสิ้นสุดการเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติ ของสังคมอเมริกา ตอนนั้นฉันคงไร้เดียงสาเกินไปกับการเมืองโลก แล้วโอบามาก็ทำให้ฉันหลั่งน้ำตาอีกครั้งเมื่อเขาส่งกองกำลังไปสังหารพี่น้องร่วมศรัทธาของฉันในอัฟกานิสถาน ด้วยข้ออ้างเหมือนกับที่บุชเคยทำ นั่นคือการจัดการกับกลุ่มก่อการร้ายตอลีบัน กลุ่มติดอาวุธที่สหรัฐฯปั้นขึ้นมากับมือเพื่อต่อสู้กับรัสเซียในยุคคอมมิวนิสต์ ประชาชนชาวอัฟกันผู้บริสุทธิ์ตายไปเป็นเบือ ชาวโลกนั่งมองตาปริบ ๆ อีกเช่นเคย ไม่เป็นไรสังหาร ผู้ก่อการร้าย

โรบิน ยัสซีน-กัสซับ (Robin Yassin-Kassab) นักเขียนลูกครึ่งอังกฤษซีเรีย ผู้ประพันธ์วรรณกรรมเรื่อง The Road from Damascus (2008) เป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียงสำคัญของการต่อต้านอำนาจเผด็จการบัชชาร์ในซีเรีย เขาได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับซีเรียอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดเขาพาดหัวในเชิงตั้งคำถามว่า Intervention? ซึ่งน่าจะแปลเป็นไทยได้ว่า การแทรกแซงนะหรือ เมินซะเถอะ”  ทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนของการไม่ยอมเข้าแซกแทรงทางทหารของชาติมหาอำนาจซึ่งนำโดยสหรัฐฯ ในกรณีการใช้อาวุธเคมีสังหารหมู่ชาวซีเรีย นั่นเพราะสหรัฐฯ เคยแถลงไว้อย่างชัดเจนว่า อเมริกาไม่สามารถหากลุ่มต่อสู้กลุ่มใด ๆ ในซีเรียที่จะรับรองผลประโยชน์ของอเมริกาได้โอบามาเองเคยออกมาขู่บัชชาร์เสียงอ่อย ๆ หลังจากจอมเผด็จการบัชชาร์สังหารประชาชนของตัวเองไปแล้วกว่าสองแสนคนว่า อย่าล้ำเส้นโดยการใช้อาวุธเคมีและเมื่อมีการพิสูจน์แล้วว่าบัชชาร์ใช้อาวุธเคมี โอบามาก็ออกมาสำทับเสียงขื่น ๆ ว่า อย่าใช้อาวุธเคมีเป็นคำรบสอง” (-Mazlan Muhammad- Facebook wall)

li-syria-refugees-rtr3a7ge
ภาพประชาชนชาวซีเรียที่กำลังวิ่งหนีเอาชีวิตรอด

อันที่จริงเรื่อง การใช้อาวุธเคมีในซีเรียนั้นมีมานานแล้ว ดังที่ยัสซีน อัลฮัจญ์ ซาและฮ์ (Yassin Al-Haj Saleh) นักเขียนและนักวิจารณ์ทางการเมืองชาวซีเรีย ได้เคยเขียนจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากนานาชาติต่อซีเรีย ตึพิมพ์เผยแพร่เมื่อวันที่ 10 กรกฏาคม 2556 ในหัวข้อ “Help Syria now. Tomorrow it may be too late” เขาได้บอกเล่าถึงเรื่องราวความทุกข์ยากอันแสนสาหัสที่เกิดขึ้นกับประชาชนชาวซีเรียทุกหมู่เหล่า สิ่งหนึ่งที่น่าจะเป็นหลักฐานอันชัดเจนว่าบัซซาร์ที่อ้างตนว่าเป็นมุสลิมนั้นไม่ได้ยึดมั่นในหลักการของศาสนาใดเลยทั้ง ๆ ที่เขาได้อ้างเอาบรรดาผู้รู้มุสลิมที่สอพลอบางคนเป็นพรรคพวก นั่นคือปฏิบัติทางทหารในการกวาดล้างชาวมุสลิมในซีเรียในช่วงการละหมาดวันศุกร์ ยัสซีน อัลฮัจญ์ เล่าว่าสิ่งที่เขาประหลาดใจมากในช่วงที่เขาไปหลบภัยอยู่ที่เมืองดามัสกัสคือเมื่อเขาได้ยินเสียงอะซานเรียกละหมาดวันศุกร์เริ่มขึ้นตั้งแต่เก้าโมงเช้า จากนั้นอีกครึ่งชั่วโมงก็จะได้ยินเสียงอะซานจากมัสยิดอีกแห่งหนึ่ง และอีกครึ่งชั่วโมงถัดมาก็จะได้ยินเสียงอะซานจากมัสยิดอีกแห่งหนึ่ง เป็นอย่างนี้ไปตลอด เหตุผลก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ทหารของบัซซาร์ปฏิบัติการสังหารหมู่ประชาชนที่มารวมตัวกันเป็นจำนวนมากในการละหมาดวันศุกร์ เขาเล่าว่าทหารบัชชาร์เคยถล่มมัสยิดมาแล้วในช่วงที่ประชาชนมาละหมาดวันศุกร์พร้อมๆกัน และมัสยิดอย่างน้อยห้าแห่งแล้วที่ถูกถล่มในปฏิบัติการดังกล่าว เพราะฉะนั้นนี่จึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับศาสนา แต่คือการที่บัชชาร์ต้องการสืบทอดอำนาจเผด็จการต่อจากพ่อของตนที่เป็นอดีตผู้นำซีเรียต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด อันเป็นการจุดชนวนให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลภายใต้การนำของเขา โดยเริ่มจากการประท้วงอย่างสันติ แต่หลังจากนั้นเมื่อทหารของบัชชาร์ได้เริ่มกวาดล้างผู้คนอย่างอำมหิต การประท้วงก็ได้เปลี่ยนไปเป็นรูปแบบของกองกำลังติดอาวุธ และขณะนี้นอกจากประชาชนที่ล้มตายไปไม่ต่ำกว่าสองแสนคนแล้ว ยังมีชาวซีเรียที่ต้องลี้ภัยออกนอกประเทศอีกกว่า 2 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด 

ในอีกบทความของยัสซีน-กัสซับ เรื่อง “Politics Not Theology” เขาได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในซีเรียนั้นเป็นเรื่องการเมืองไม่ใช่เรื่องความขัดแย้งทางศาสนา เขาได้บอกกเล่าความรู้สึกของ อบู ยูซุฟ นายตำรวจซีเรียหัวเสรีนิยมคนหนึ่งที่เคยเป็นตำรวจมาถึง 26 ปีและได้เปลี่ยนฝ่ายมาต่อสู้กับรัฐบาลบัชชาร์ว่า ผมไม่ได้ถือศีลอดในเดือนรอมฏอน ผมละหมาดในเวลาที่จิตใจผมสงบ ผมเป็นมุสลิม แต่ศาสนาแรกของผมคือมนุษยธรรม ผมไม่ได้สนใจว่าบัชชาร์จะนับถือศาสนาอะไร แต่ผมจะสู้จนตัวตายเพื่อไม่ต้องอยู่ภายใต้ปกครองของไอ้มาตรกร

ยัสซีน-กัสซับ กล่าวว่ามาถึงตอนนี้เราคงสรุปได้ว่ารัฐทุกรัฐนั้นเป็นพวกหน้าไว้หลังหลอก และสหรัฐอเมริกาในฐานะที่Bashar-Assad-and-Obama_244x183 (ยังคง) เป็นชาติที่มีอำนาจที่สุดในโลกขณะนี้นั้นเป็นพวกหน้าไว้หลังหลอกตัวพ่อ ทั้งนี้สิ่งที่โอบามาทำโดยการค่อย ๆ ออกปากปรามบัชชาร์ว่าอย่าหนักข้อเกินไปนั้นก็แสดงให้เห็นความหน้าไว้หลังหลอกอย่างชัดเจน โอบามาทำเช่นนี้เพียงเพราะต้องแสดงศักยภาพให้ชาวโลกและบัชชาร์เห็นว่าคำพูดของรัฐบาลสหรัฐฯนั้นยังมีน้ำหนัก และยังสามารถทำให้ชาวโลกหันช้ายหันขวาได้ แต่สหรัฐฯก็จะยังไม่ทำอะไรทั้งสิ้น เพราะหากพูดมากไปตนต้องเข้าไปแสดงบทบาทเต็มที่ในการกำจัดรัฐบาลเผด็จการบัชชาร์ ซึ่งนั่นไม่ใช่สั่งที่รัฐบาลสหรัฐฯต้องการทำเพราะดังที่กล่าวไป สหรัฐฯไม่มีเอี่ยวอะไรกับผลประโยชน์ในซีเรีย และอันที่จริงแล้วสหรัฐฯได้แบ่งเค้กกับรัสเซียเรียบร้อยแล้วในกรณีของซีเรีย และถ้าเข้าไปก็มีแต่จะสร้างความขัดแย้งกับรัสเซียรวมทั้งยักษ์ใหญ่อย่างจีนเสียเปล่า ๆ สู้ปล่อยให้ประชาชนซีเรียตาย ๆ กันไป ช่างประไร ไม่ใช่ลูกหลานกู!

ยัสซีน-กัสซับยังกล่าวอีกด้วยว่าราชวงศ์ซาอุด แห่งซาอูดีอารเบีย ที่ส่งเงินและอาวุธเข้าไปช่วยกองกำลังต่อต้านบัซซาร์ในซีเรียนั้นก็ไม่ต่างจากชาติตะวันตกอื่น ๆ ที่กระทำไปเพียงเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเองทั้งสิ้น ในขณะที่ราชวงศ์ซาอุดให้เงินสนับสนุนการทำรัฐประหารของซีซีในอียิปต์ เพราะกลัวรัฐบาลอิสลามที่นำโดยพรรคภราดรภาพมุสลิม ขณะเดียวกันราชวงค์ซาอุดก็เข้าไปช่วยกองกำลังต่อต้านบัชชาร์ในซีเรียเพื่อตัดทอนกำลังของอิหร่านและกลุ่มฮิสบุลลฮ์ซึ่งเป็นหอกข้างแคร่ของตน หาได้ต้องการจะช่วยกลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตยในซีเรียหรือกลุ่มกองกำลังมุสลิมผู้สนับสนุนการใช้ความรุนแรงในการต่อสู้ เพราะราชวงศ์ซาอุดรู้ดีว่ากองกำลังมุสลิมพวกนี้ไม่เอาราชวงศ์ซาอุด (เพราะคนเหล่านี้ต่างมองว่าราชวงศ์ซาอุดนั้นเป็นมหามิตรอันยิ่งใหญ่ของอเมริกาและชาติตะวันตกและต่างแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกันเสมอมา) ขณะนี้บรรดานักสู้ในซีเรียจำต้องยอมรับอาวุธจากใครก็ได้ที่หยิบยื่นให้ แต่ในระยะยาวแล้วพวกเขาก็ต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว เหมือนที่พวกเขาได้ทำมาแล้วกว่าสองปีครึ่งที่ผ่านมา

อ่านบทความเหล่านี้แล้วทำให้ฉันยิ่งรู้สึกสิ้นหวังกับบรรดารัฐบาลหน้าไหว้หลังหลอกทั้งหลาย ในฐานะคนธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้มีบทบาทอะไรในสังคมมากมาย ฉันคงได้แต่ส่งเงินช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปให้กับชาวซีเรียเท่าที่กำลังของฉันพอจะมีในทุก ๆ ครั้งที่มีโอกาส ฉันคงได้แต่ขอพรต่อพระผู้เป็นเจ้าให้พระองค์ทรงรับวิญญาณอันบริสุทธิ์ของทุกผู้ทุกนามที่เขาต่อสู้เพื่อความยุติธรรมไปสู่สรวงสวรรค์ ซึ่งฉันมั่นใจว่าพระองค์จะทรงตอบรับพรของฉันในประการนี้ และฉันคงได้แต่ขอพรต่อไปให้พระองค์ทรงมอบชัยชนะแก่ผู้ที่ต่อสู้เพื่อรักษาสิทธิอันชอบธรรมของพวกเขา ในอันที่จะมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขและมีศักดิ์ศรีภายในบ้านเกิดเมืองนอนของเขา และฉันหวังเพียงว่าบทเรียบเรียงของฉันจะเป็นเสียงเล็ก ๆ ที่ช่วยเติมพื้นที่แห่งการเรียกร้องความเป็นธรรมนี้

syrian_refugee_10
เด็ก ๆ ที่ไร้เดียงสายังสามารถยิ้มได้แม้ในยามที่พวกเขากำลังถูกประหัตประหาร

ข้อมูลอ้างอิง

– “Intervention?” http://qunfuz.com/2013/08/29/intervention/

– “Politics Not Theology” (http://qunfuz.com/2013/07/10/politics-not-theology/)

– “Help Syria now. Tomorrow it may be too late” http://www.theguardian.com/commentisfree/2013/jul/10/help-syria-now-tomorrow-too-late